Translate

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ ชูเรือชายฝั่งสนับสนุนขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ

เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ ผู้ให้บริการเรือชายฝั่งท่าเรือกรุงเทพ-ท่าเรือแหลมฉบัง ชูจุดเด่นช่วยลดปัญหาความแออัดของท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และICD ลาดกระบัง ปี 51 เร่งแผนพัฒนาต่อเนื่อง พร้อมก้าวสู่ผู้ให้บริการขนส่งทางน้ำครบวงจร ปัญหาความแออัดของตู้สินค้าของท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และ ICD ลาดกระบัง รวมถึงภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวนเป็นปัญหาหนักอกของผู้นำเข้า-ผู้ส่งออกและผู้ให้บริการขนส่งภายในประเทศ เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การขนส่งสินค้าล่าช้าและทำให้ต้นทุนขนส่งค่อนข้างสูง การขนส่งสินค้าด้วยเรือชายฝั่งจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเพราะสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งในแง่ประหยัดเวลาและต้นทุนโดยรวมในการขนส่งสินค้า
ด้วยเหตุนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงได้มีนโยบายพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำ ให้โอกาสกับเอกชนที่มีความพร้อมเปิดบริการสายเรือขนตู้สินค้าระหว่างท่าเรือกรุงเทพกับท่าเรือแหลมฉบังแบบเต็มรูปแบบ โดยบริษัท เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ จำกัด เป็นบริษัทแรกที่เปิดให้บริการในเส้นทางดังกล่าวตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549
สำหรับเป้าหมายหลักของเอ็นวายเอส โลจิสติกส์คือเป็นผู้ขนส่งสินค้าภายในประเทศโดยทางน้ำทั้งเป็นสินค้าภายในประเทศและสินค้าส่งนำเข้า-ส่งออก รวมถึงให้บริการถ่ายลำ (transshipment) กับสายเรือขนาดใหญ่ที่ไม่มีเรือเข้าท่าเรือกรุงเทพ 
"เรือชายฝั่งไม่ใช่คู่แข่งของรถบรรทุกหรือรถไฟ แต่เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการขนส่งที่จะช่วยสนับสนุนการขนส่งรูปแบบเดิม" คุณสมชาย ตันติจินดา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ จำกัด กล่าว
ชูจุดเด่นประหยัดค่าขนส่ง  ไม่ติดขัดจราจรหน้าท่า
ประโยชน์หลักที่ผู้ใช้บริการได้รับจากบริการเรือชายฝั่งคือช่วยประหยัดเวลาในการขนส่งสินค้าโดยรวมได้มากกว่าทางบกประมาณ 1-2 ชั่วโมง เนื่องจากเรือชายฝั่งไม่มีปัญหาเรื่องการจราจรติดขัดหน้าท่าเรือ และได้ closing time เท่ากับรถไฟคือให้สินค้าไปถึงก่อนเรือแม่เทียบท่าแหลมฉบัง 1 ชั่วโมง ขณะที่การขนส่งทางรถบรรทุกต้องประสบปัญหาการจราจรคับคั่งหน้าท่าเรือ และต้องให้ตู้สินค้ามาถึงท่าเรือแหลมฉบัง 48 ชั่วโมงก่อนเรือแม่เข้า

ด้านต้นทุนการขนส่ง เรือชายฝั่งช่วยประหยัดต้นทุนโดยรวมได้ดีกว่าขนส่งทางรถบรรทุกและรถไฟ  และสามารถบรรทุกน้ำหนักต่อตู้ได้มากกว่า และขนส่งได้คราวละมากๆ ซึ่งตู้สินค้าขนาด 20 ฟุตสามารถบรรทุกน้ำหนักสินค้าได้ประมาณ 20 ตันต่อตู้ ขณะที่การขนส่งด้วยรถบรรทุกรับน้ำหนักได้เพียง 14-15 ตัน
นอกจากนี้ลูกค้ายังได้รับความสะดวกในการลดขั้นตอนพิธีการศุลกากร เนื่องจากท่าเทียบเรือชายฝั่งในท่าเรือกรุงเทพอยู่นอกเขตรั้วศุลกากร มีเจ้าหน้าที่ของเอ็นวายเอส โลจิสติกส์ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และในกรณีเร่งด่วน เช่น สายเรือไม่สามารถขนตู้สินค้าไปยังท่าเรือแหลมฉบังได้หมดในคราวเดียวกัน หรือเรือไม่สามารถเข้ามาในท่าเรือกรุงเทพได้เนื่องจากระดับน้ำลดต่ำ ทางบริษัทฯ สามารถเตรียมเรือให้พร้อมภายใน 1-2 ชั่วโมง
ผู้ใช้บริการตอบรับดี ปี 50 เติบโตเท่าตัว
นับจากเริ่มเปิดให้บริการ เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตของปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และได้เพิ่มรอบให้บริการมากขึ้น จากเดิมสัปดาห์ละ 2 วันเป็นสัปดาห์ละ 3-5 วันหรือวิ่งทุกวันขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้า ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีเรือให้บริการทั้งสิ้นจำนวน 6 ลำ 
สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือสายเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักกว่า 90% ส่วนกลุ่มที่สองคือกลุ่มผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก และผู้ขนส่งสินค้าในประเทศ
อย่างไรก็ตามแม้ผู้ใช้บริการเริ่มตอบรับดีขึ้น แต่บริษัทฯ ยังประสบปัญหาเรื่องการบริหารเรือเที่ยวเปล่าในขากลับ ซึ่งปัจจุบันการขนส่งยังไม่เต็มประสิทธิภาพเป็นการขนส่งสินค้าเที่ยวเดียวคือจากท่าเรือกรุงเทพไปยังท่าเรือแหลมฉบังส่วนขากลับเป็นการตีเที่ยวเปล่า ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดกับผู้ให้บริการเรือชายฝั่งทุกราย ทั้งนี้ คุณสมชาย กล่าวว่า กำลังดำเนินการแก้ไขโดยจะพยายามขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เพิ่มช่องทางการเข้าถึงระหว่างลูกค้ากับบริษัทฯ ให้มากขึ้น และเปิดรับสินค้าโดยไม่จำกัดปริมาณ
เร่งขยายฐานลูกค้า มุ่งสู่ผู้ให้บริการขนส่งทางน้ำครบวงจร
สำหรับแผนพัฒนาศักยภาพของบริษัทฯ นั้น คุณสมชาย เปิดเผยว่า จะพยายามขยายฐานลูกค้าเพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าโดยตั้งเป้าว่าจะสามารถให้บริการเรือได้ทุกวัน พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงของลูกค้า และจะพัฒนาศักยภาพสู่ผู้ให้บริการขนส่งทางน้ำครบวงจร (Total Logistics Chain) สามารถรองรับความต้องการได้แบบ Door to door โดยมีทั้งแผนงานระยะสั้น-ระยะยาว ดังนี้
แผนงานระยะสั้นภายในปี 2551 
  1. ตั้งเป้าว่าสามารถให้บริการได้ทุกวันโดยมีการขนส่งสินค้าอย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งขาไปและขากลับ
  2. ขยายฐานลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
  3. เปิดเส้นทางให้บริการใหม่ๆ คือ เส้นทางกรุงเทพ-สุราษฎร์ธานี กรุงเทพ-สงขลา และกรุงเทพ-ระนอง 
แผนงานระยะยาวภายในปี 2552-2554
  1. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อมต่อกับลูกค้า
  2. ขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มผู้ขนส่งสินค้าภายในประเทศ เป็นการสนับสนุนการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบโดยใช้การขนส่งทางเรือชายฝั่งในเส้นทางระยะไกลแล้วใช้รถบรรทุกขนส่งในระยะสั้น
  3. ก้าวสู่การเป็น Total Logistics Chain สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้แบบ Door to door
"จากระยะแรกที่เราต้องการผลักดันแนวคิดเรื่องเรือชายฝั่งให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ตอนนี้เราผ่านจุดเริ่มต้นแล้ว และก้าวสู่การพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้ประสบการณ์ และสามารถวางระบบปฏิบัติงานของเรา ระยะต่อไปคือการพัฒนาในด้านต่างๆ ที่มีความสำคัญเพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็น Total Logistics Chain ในที่สุด" คุณสมชาย แสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารงาน
แนะภาครัฐสนับสนุนและแก้ไขกฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวย  เพื่อให้การขนส่งทางเรือชายฝั่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการเพื่อลดอุปสรรคของการขนส่งทางเรือชายฝั่ง ทั้งนี้ คุณสมชาย ให้ความเห็นเกี่ยวกับอุปสรรคของธุรกิจเรือชายฝั่งว่า ปัจจุบันเรือชายฝั่งขาดกฎระเบียบรองรับและต้องอิงกับกฎระเบียบของเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งที่มีรูปแบบการบริหารแตกต่างกันทำให้เกิดอุปสรรคในการทำงาน
นอกจากนี้ท่าเรืออเนกประสงค์ A0 ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งภาครัฐมีนโยบายสร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับเรือชายฝั่งนั้น ในทางปฏิบัติไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อผู้ให้บริการเรือชายฝั่งเท่าที่ควร เนื่องจากกฎระเบียบไม่เอื้ออำนวย มีต้นทุนสูงในการขนส่งสินค้าโดยต้องใช้รถหัวลากจากท่าเทียบเรือ A0 ไปยังท่าเทียบเรืออื่นๆ เพื่อนำสินค้าขึ้นเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ closing time 48 ชั่วโมงก่อนเรือเข้าเช่นเดียวกับรถบรรทุกทั่วไป
ขณะที่รูปแบบที่ปฏิบัติอยู่ปัจจุบันสะดวกและมีต้นทุนต่ำกว่า คือเรือชายฝั่งเข้าเทียบท่าในท่าเทียบเรือต่างๆ ในท่าเรือแหลมฉบังเพื่อนำสินค้าส่งขึ้นเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศได้โดยตรง และมี closing time เพียง 1 ชั่วโมง
การขนส่งด้วยเรือชายฝั่งเป็นคำตอบสำคัญในการเสริมศักยภาพการขนส่งรูปแบบเดิมที่ผู้นำเข้า-ส่งออกคุ้นเคย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น