Translate

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ ชูเรือชายฝั่งสนับสนุนขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ

เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ ผู้ให้บริการเรือชายฝั่งท่าเรือกรุงเทพ-ท่าเรือแหลมฉบัง ชูจุดเด่นช่วยลดปัญหาความแออัดของท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และICD ลาดกระบัง ปี 51 เร่งแผนพัฒนาต่อเนื่อง พร้อมก้าวสู่ผู้ให้บริการขนส่งทางน้ำครบวงจร ปัญหาความแออัดของตู้สินค้าของท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และ ICD ลาดกระบัง รวมถึงภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวนเป็นปัญหาหนักอกของผู้นำเข้า-ผู้ส่งออกและผู้ให้บริการขนส่งภายในประเทศ เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การขนส่งสินค้าล่าช้าและทำให้ต้นทุนขนส่งค่อนข้างสูง การขนส่งสินค้าด้วยเรือชายฝั่งจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเพราะสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งในแง่ประหยัดเวลาและต้นทุนโดยรวมในการขนส่งสินค้า
ด้วยเหตุนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงได้มีนโยบายพัฒนาระบบขนส่งทางน้ำ ให้โอกาสกับเอกชนที่มีความพร้อมเปิดบริการสายเรือขนตู้สินค้าระหว่างท่าเรือกรุงเทพกับท่าเรือแหลมฉบังแบบเต็มรูปแบบ โดยบริษัท เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ จำกัด เป็นบริษัทแรกที่เปิดให้บริการในเส้นทางดังกล่าวตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549
สำหรับเป้าหมายหลักของเอ็นวายเอส โลจิสติกส์คือเป็นผู้ขนส่งสินค้าภายในประเทศโดยทางน้ำทั้งเป็นสินค้าภายในประเทศและสินค้าส่งนำเข้า-ส่งออก รวมถึงให้บริการถ่ายลำ (transshipment) กับสายเรือขนาดใหญ่ที่ไม่มีเรือเข้าท่าเรือกรุงเทพ 
"เรือชายฝั่งไม่ใช่คู่แข่งของรถบรรทุกหรือรถไฟ แต่เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการขนส่งที่จะช่วยสนับสนุนการขนส่งรูปแบบเดิม" คุณสมชาย ตันติจินดา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ จำกัด กล่าว
ชูจุดเด่นประหยัดค่าขนส่ง  ไม่ติดขัดจราจรหน้าท่า
ประโยชน์หลักที่ผู้ใช้บริการได้รับจากบริการเรือชายฝั่งคือช่วยประหยัดเวลาในการขนส่งสินค้าโดยรวมได้มากกว่าทางบกประมาณ 1-2 ชั่วโมง เนื่องจากเรือชายฝั่งไม่มีปัญหาเรื่องการจราจรติดขัดหน้าท่าเรือ และได้ closing time เท่ากับรถไฟคือให้สินค้าไปถึงก่อนเรือแม่เทียบท่าแหลมฉบัง 1 ชั่วโมง ขณะที่การขนส่งทางรถบรรทุกต้องประสบปัญหาการจราจรคับคั่งหน้าท่าเรือ และต้องให้ตู้สินค้ามาถึงท่าเรือแหลมฉบัง 48 ชั่วโมงก่อนเรือแม่เข้า

ด้านต้นทุนการขนส่ง เรือชายฝั่งช่วยประหยัดต้นทุนโดยรวมได้ดีกว่าขนส่งทางรถบรรทุกและรถไฟ  และสามารถบรรทุกน้ำหนักต่อตู้ได้มากกว่า และขนส่งได้คราวละมากๆ ซึ่งตู้สินค้าขนาด 20 ฟุตสามารถบรรทุกน้ำหนักสินค้าได้ประมาณ 20 ตันต่อตู้ ขณะที่การขนส่งด้วยรถบรรทุกรับน้ำหนักได้เพียง 14-15 ตัน
นอกจากนี้ลูกค้ายังได้รับความสะดวกในการลดขั้นตอนพิธีการศุลกากร เนื่องจากท่าเทียบเรือชายฝั่งในท่าเรือกรุงเทพอยู่นอกเขตรั้วศุลกากร มีเจ้าหน้าที่ของเอ็นวายเอส โลจิสติกส์ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และในกรณีเร่งด่วน เช่น สายเรือไม่สามารถขนตู้สินค้าไปยังท่าเรือแหลมฉบังได้หมดในคราวเดียวกัน หรือเรือไม่สามารถเข้ามาในท่าเรือกรุงเทพได้เนื่องจากระดับน้ำลดต่ำ ทางบริษัทฯ สามารถเตรียมเรือให้พร้อมภายใน 1-2 ชั่วโมง
ผู้ใช้บริการตอบรับดี ปี 50 เติบโตเท่าตัว
นับจากเริ่มเปิดให้บริการ เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตของปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และได้เพิ่มรอบให้บริการมากขึ้น จากเดิมสัปดาห์ละ 2 วันเป็นสัปดาห์ละ 3-5 วันหรือวิ่งทุกวันขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้า ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีเรือให้บริการทั้งสิ้นจำนวน 6 ลำ 
สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือสายเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักกว่า 90% ส่วนกลุ่มที่สองคือกลุ่มผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก และผู้ขนส่งสินค้าในประเทศ
อย่างไรก็ตามแม้ผู้ใช้บริการเริ่มตอบรับดีขึ้น แต่บริษัทฯ ยังประสบปัญหาเรื่องการบริหารเรือเที่ยวเปล่าในขากลับ ซึ่งปัจจุบันการขนส่งยังไม่เต็มประสิทธิภาพเป็นการขนส่งสินค้าเที่ยวเดียวคือจากท่าเรือกรุงเทพไปยังท่าเรือแหลมฉบังส่วนขากลับเป็นการตีเที่ยวเปล่า ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดกับผู้ให้บริการเรือชายฝั่งทุกราย ทั้งนี้ คุณสมชาย กล่าวว่า กำลังดำเนินการแก้ไขโดยจะพยายามขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เพิ่มช่องทางการเข้าถึงระหว่างลูกค้ากับบริษัทฯ ให้มากขึ้น และเปิดรับสินค้าโดยไม่จำกัดปริมาณ
เร่งขยายฐานลูกค้า มุ่งสู่ผู้ให้บริการขนส่งทางน้ำครบวงจร
สำหรับแผนพัฒนาศักยภาพของบริษัทฯ นั้น คุณสมชาย เปิดเผยว่า จะพยายามขยายฐานลูกค้าเพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าโดยตั้งเป้าว่าจะสามารถให้บริการเรือได้ทุกวัน พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงของลูกค้า และจะพัฒนาศักยภาพสู่ผู้ให้บริการขนส่งทางน้ำครบวงจร (Total Logistics Chain) สามารถรองรับความต้องการได้แบบ Door to door โดยมีทั้งแผนงานระยะสั้น-ระยะยาว ดังนี้
แผนงานระยะสั้นภายในปี 2551 
  1. ตั้งเป้าว่าสามารถให้บริการได้ทุกวันโดยมีการขนส่งสินค้าอย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งขาไปและขากลับ
  2. ขยายฐานลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
  3. เปิดเส้นทางให้บริการใหม่ๆ คือ เส้นทางกรุงเทพ-สุราษฎร์ธานี กรุงเทพ-สงขลา และกรุงเทพ-ระนอง 
แผนงานระยะยาวภายในปี 2552-2554
  1. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อมต่อกับลูกค้า
  2. ขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มผู้ขนส่งสินค้าภายในประเทศ เป็นการสนับสนุนการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบโดยใช้การขนส่งทางเรือชายฝั่งในเส้นทางระยะไกลแล้วใช้รถบรรทุกขนส่งในระยะสั้น
  3. ก้าวสู่การเป็น Total Logistics Chain สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้แบบ Door to door
"จากระยะแรกที่เราต้องการผลักดันแนวคิดเรื่องเรือชายฝั่งให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ตอนนี้เราผ่านจุดเริ่มต้นแล้ว และก้าวสู่การพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้ประสบการณ์ และสามารถวางระบบปฏิบัติงานของเรา ระยะต่อไปคือการพัฒนาในด้านต่างๆ ที่มีความสำคัญเพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็น Total Logistics Chain ในที่สุด" คุณสมชาย แสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารงาน
แนะภาครัฐสนับสนุนและแก้ไขกฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวย  เพื่อให้การขนส่งทางเรือชายฝั่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการเพื่อลดอุปสรรคของการขนส่งทางเรือชายฝั่ง ทั้งนี้ คุณสมชาย ให้ความเห็นเกี่ยวกับอุปสรรคของธุรกิจเรือชายฝั่งว่า ปัจจุบันเรือชายฝั่งขาดกฎระเบียบรองรับและต้องอิงกับกฎระเบียบของเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งที่มีรูปแบบการบริหารแตกต่างกันทำให้เกิดอุปสรรคในการทำงาน
นอกจากนี้ท่าเรืออเนกประสงค์ A0 ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งภาครัฐมีนโยบายสร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับเรือชายฝั่งนั้น ในทางปฏิบัติไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อผู้ให้บริการเรือชายฝั่งเท่าที่ควร เนื่องจากกฎระเบียบไม่เอื้ออำนวย มีต้นทุนสูงในการขนส่งสินค้าโดยต้องใช้รถหัวลากจากท่าเทียบเรือ A0 ไปยังท่าเทียบเรืออื่นๆ เพื่อนำสินค้าขึ้นเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ closing time 48 ชั่วโมงก่อนเรือเข้าเช่นเดียวกับรถบรรทุกทั่วไป
ขณะที่รูปแบบที่ปฏิบัติอยู่ปัจจุบันสะดวกและมีต้นทุนต่ำกว่า คือเรือชายฝั่งเข้าเทียบท่าในท่าเทียบเรือต่างๆ ในท่าเรือแหลมฉบังเพื่อนำสินค้าส่งขึ้นเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศได้โดยตรง และมี closing time เพียง 1 ชั่วโมง
การขนส่งด้วยเรือชายฝั่งเป็นคำตอบสำคัญในการเสริมศักยภาพการขนส่งรูปแบบเดิมที่ผู้นำเข้า-ส่งออกคุ้นเคย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย 

NYS Logistics เปิดเส้นทางใหม่ เพิ่มบริการขนส่งทางรถไฟ ปี55 พร้อมเป็น MTO เต็มรูปแบบ

เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ ผู้ให้บริการเรือชายฝั่งระบุปี 53 โตต่อเนื่อง เปิดเส้นทางใหม่ท่าเรือแหลมฉบัง-แม่กลอง เตรียมเปิดตัวขนส่งสินค้าทางรถไฟ คาดภายในปลายปีนี้พร้อมเปิดเส้นทางบางซื่อ-ชุมพร-ท่าเรือระนอง เผยเป้าหมายปี 55 ขึ้นแท่นเป็นผู้ให้บริการขนส่งต่อเนื่องอย่างเต็มรูปแบบ



จากผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือชายฝั่งมากว่า 3 ปี จนแบรนด์ติดหูผู้ใช้บริการในปัจจุบัน ในปี 2553 นี้ นับว่าบริษัท เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ จำกัด ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น ทั้งปริมาณการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตกว่า 15% ขณะเดียวกันได้ขยายเส้นทางใหม่ท่าเรือแหลมฉบัง-แม่กลอง /แม่กลอง-ท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงจับมือกับผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟเปิด Line Product ใหม่ เตรียมให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟเชื่อมโยงกับเรือชายฝั่งในเส้นทางบางซื่อ-ชุมพร-ท่าเรือระนอง และอยู่ระหว่างประสานงานในเส้นทางหาดใหญ่-ท่าเรือแหลมฉบัง
ทั้งนี้ การรุกดำเนินงานต่างๆ ล้วนเป็นการมุ่งสู่เป้าหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการเป็นผู้ให้บริการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport Operator: MTO) เชื่อมระบบขนส่งทั้งทางเรือชายฝั่ง รถบรรทุก และรถไฟอย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 นั่นเอง
เกี่ยวกับการเติบโต ความสำเร็จตลอดปี 2553 รวมถึงการให้บริการในเส้นทางใหม่ๆ คุณสมชาย ตันติจินดา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอ็นวายเอส โลจิสติกส์ จำกัด กล่าวว่า การดำเนินงานถือว่าประสบความสำเร็จอยู่ในระดับที่ดี ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้บริการ และมีการเติบโตประมาณ 15%
สำหรับการให้บริการในเส้นทางใหม่ๆ นั้น ปัจจุบันได้ให้บริการเพิ่มเติมในเส้นทางท่าเรือแหลมฉบัง-แม่กลอง/แม่กลอง-ท่าเรือแหลมฉบัง อาทิตย์ละ 2-3 เที่ยว เพิ่มเติมจากเส้นทางเดิมที่มีและเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว คือเส้นทางท่าเรือแหลมฉบัง-ท่าเรือกรุงเทพ/ท่าเรือกรุงเทพ-ท่าเรือแหลมฉบัง
นอกจากนี้ คุณสมชายเปิดเผยว่า อยู่ระหว่างประสานงานเพื่อผลักดันให้เกิดการให้บริการในเส้นทางมาบตาพุด-ท่าเรือ
แหลมฉบัง/ท่าเรือแหลมฉบัง-มาบตาพุด สำหรับความคืบหน้าอยู่ระหว่างประสานเกี่ยวกับการจัดการเรื่องเส้นทาง เวลาของเรือ ค่าใช้จ่าย ตู้คอนเทนเนอร์ในการรับส่งสินค้า ฯลฯ คาดว่าภายในปีนี้น่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น




เตรียมให้บริการขนส่งทางรถไฟบางซื่อ-ชุมพร-ท่าเรือระนอง


นอกจากการให้บริการเรือชายฝั่งในเส้นทางต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคกลางแล้ว ล่าสุดบริษัทฯ ได้จับมือกับผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟ และรถบรรทุกเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างภาคใต้และภาคกลางของประเทศ โดยอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมในเส้นทางบางซื่อ-ชุมพร-ท่าเรือระนอง ซึ่งปัจจุบันมีความพร้อมแล้วประมาณ 70% คาดว่าสามารถให้บริการได้ภายในปี 2553 นี้
นอกจากนี้อยู่ระหว่างประสานงานในเส้นทางหาดใหญ่-ท่าเรือแหลมฉบัง ปัจจุบันความต้องการใช้บริการมีอยู่แล้ว แต่อยู่ระหว่างการพูดคุยเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะผู้ใช้บริการในพื้นที่ดังกล่าวมีทางเลือกในการส่งสินค้าไปทางพอร์ทกรัง มาเลเซียอยู่แล้ว เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายพบว่า ยังสูงกว่าออกไปทางมาเลเซีย แต่หากขอความร่วมมือกับสายเรือจากท่าเรือแหลมฉบังในราคาที่พอสู้ได้ เชื่อว่าลูกค้าจะเลือกใช้บริการอย่างแน่นอน
เกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าว คุณสมชาย กล่าวว่า “สิ่งที่เรากำลังทำคือจับมือทั้งกับรถไฟ และรถบรรทุก ซึ่งแต่ละโหมดการขนส่งมีจุดด้อยจุดแข็งที่ต่างกัน เราดึงให้มาทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ พยายามให้ความมั่นใจกับลูกค้าว่า เรามีวิธีนำสินค้าไปให้ได้ ถ้ารถไฟไม่พอจะถูกสลับมาที่รถบรรทุก หรือเรือชายฝั่ง ภายใต้ค่าใช้จ่ายในกรอบเดียวกัน”
“อุปสรรคในการขนส่งสินค้าทางรถไฟจากภาคใต้มาที่ภาคกลาง คือ เกิดต้นทุนที่เป็นดับเบิ้ลแฮนลิ่ง เช่น เส้นทางหาดใหญ่-ท่าเรือกรุงเทพ ทั้งที่สินค้าควรจะมุ่งตรงมาที่ท่าเรือกรุงเทพเลย เพราะท่าเรือกรุงเทพสามารถขนส่งทางรถไฟได้อยู่แล้ว แต่ปัจจุบันยังใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นสินค้าจึงต้องไปที่บางซื่อก่อน จึงทำให้เกิดต้นทุนที่ซ้ำซ้อน” คุณสมชาย กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับรูปแบบการขนส่งสินค้าในเส้นทางบางซื่อ-ชุมพร-ท่าเรือระนอง คือขนส่งสินค้าทางรถไฟจากสถานีรถไฟบางซื่อไปยังสถานีรถไฟชุมพร จากชุมพรบริษัทฯ ร่วมมือกับผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางรถบรรทุกขนส่งต่อไปยังท่าเรือระนอง ปัจจุบันมีความพร้อมแล้ว 70% เหลือเพียงประสานงานเรื่องตารางเรือ คาดว่าพร้อมเปิดให้บริการภายในปีนี้
ประโยชน์ที่ผู้ใช้บริการจะได้รับคือ มีทางเลือกในการส่งสินค้ามากขึ้น มีความแน่นอน สินค้าสามารถส่งทันเวลา ลดระยะเวลาในการเดินทาง แม้ค่าใช้จ่ายยังไม่ถูกกว่าหรืออาจสูงกว่าเล็กน้อย
ทั้งนี้ ยกตัวอย่างสินค้าที่ส่งผ่านท่าเรือระนองไปยังประเทศพม่า ปัจจุบันผู้ประกอบการประสบปัญหาสินค้าตกเรือที่สิงคโปร์ หรือพอร์ทกรัง ประเทศมาเลเซีย เพราะส่วนหนึ่งเนื่องจากเรือที่สิงคโปร์ให้ความสำคัญกับสินค้าน้ำหนักเบาแต่มีมูลค่าสูงมากกว่า ขณะที่สินค้าจากไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าหนัก จึงทำให้สินค้าจากไทยไปพม่าใช้เวลาเกือบ 1 เดือน
แต่หากเป็นการขนส่งทางรถไฟจากบางซื่อไปยังชุมพรและทางถนนไปท่าเรือระนองใช้เวลาประมาณ 3 วัน และจากท่าเรือระนองไปยังพม่าอีก 1 วัน ทำให้ลดเวลาในการขนส่งได้มาก
นอกจากนี้ การขนส่งสินค้าทางรถไฟดังกล่าว ยังเป็นทางเลือกหนึ่งในการเชื่อมโยงสินค้าสู่ท่าเรือในภาคใต้ เช่น ท่าเรือสงขลา 2 และท่าเรือปากบารา ที่มีแนวคิดระดับประเทศผลักดันให้เกิด แต่หลายฝ่ายยังมุ่งประเด็นว่า ต้องมีนิคมอุตสาหกรรมใกล้ท่าเรือเพื่อป้อนสินค้า ซึ่งมุมมองส่วนตัวคุณสมชายเห็นว่า อย่าห่วงเรื่องที่ตั้งของสินค้า แต่ต้องให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงสินค้าไปยังท่าเรือมากกว่า เพราะความเป็นจริงสินค้าควรอยู่แหล่งที่ได้เปรียบทั้งด้านวัตถุดิบ และต้นทุนนั่นเอง 


ปี 55 เป็นผู้ให้บริการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ


ถามถึงก้าวต่อไป และแผนงานในปี 2554-2555 คุณสมชายเปิดเผยว่า จากปี 2553 ที่บริษัทฯ มุ่งปรับปรุงการให้บริการ และเพิ่มบริการใหม่ๆ อาทิ การเปิดเส้นทางใหม่ และร่วมมือกับผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟเปิดเป็นบริการใหม่ ซึ่งในปี 2553 บริษัทฯ ได้เริ่มเข้าถึงลูกค้าโดยตรง คือ กลุ่มผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าเป็นสายเรือเป็นส่วนใหญ่
ส่วนแผนงานขั้นต่อไปในปี 2554 จะเป็นการเริ่มหาลูกค้าโดยตรง เพื่อหากลุ่มสินค้าในประเทศ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลัก
ของบริษัทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีขนาดเล็ก รายกลาง รายย่อย เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด ขาดอำนาจการต่อรองเมื่อเทียบกับผู้ใช้บริการรายใหญ่
ส่วนปี 2555 ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะสามารถขึ้นแท่นเป็นผู้ให้บริการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport Operation) อย่างเต็มตัว สามารถเชื่อมโยงระบบขนส่งในประเทศทั้งทางเรือชายฝั่ง ทางถนน และทางรถไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังมีแผนงานทำศูนย์กระจายสินค้าในประเทศ เพื่อเป็นจุดรวบรวมสินค้าต่างๆ ในเส้นทางที่สำคัญ เป็นจุดเชื่อมโยงในการขนส่งสินค้า ทำให้รถขนส่งวิ่งในระยะสั้น ลดทั้งเวลา และต้นทุนโลจิสติกส์โดยรวม ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมอยู่แล้ว คือมีคลังสินค้า และความพร้อมในการซัพพลายตู้แล้ว จึงเป็นแนวคิดที่จะดำเนินการต่อเนื่องต่อไป
การเดินหน้าพัฒนาบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องของเอ็นวายเอส โลจิสติกส์ เป็นที่น่าจับตามอง ซึ่งหากรูปแบบการให้บริการเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการขนส่งสินค้าในประเทศได้ดีเลยทีเดียว